สถานการณ์การเมืองไทยในช่วงกลางปี 2568 เริ่มส่งสัญญาณปั่นป่วนอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะประเด็น “ฮั้ว ส.ว.” ซึ่งเดิมเป็นเพียงเสียงครหา กลับกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่เริ่มเขย่าความสัมพันธ์ภายในรัฐบาลผสม จนนำไปสู่ แรงสั่นสะเทือนต่อร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณา
ปมร้อน “ฮั้ว ส.ว.” จุดแตกหัก
ข้อกล่าวหาการล็อบบี้-ตกลงผลเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ระหว่างบางกลุ่มการเมือง กำลังขยายวงและกลายเป็นแรงเสียดทานในรัฐบาลผสม โดยเฉพาะสองพรรคหลักคือ “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” ที่แม้จะเคยจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งปี 2566 แต่ปัจจุบันกำลังเดินคนละทางอย่างชัดเจน
ความร้อนแรงของคดีนี้ไม่ได้อยู่แค่ในระดับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่เริ่มมีการขุดคุ้ยเชิงลึก ทั้งเอกสาร หลักฐาน และความเคลื่อนไหวที่อาจบานปลายสู่การเอาผิดทางกฎหมาย ซึ่งย่อมส่งผลต่อความไว้วางใจภายในพรรคร่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
งบปี 69 อาจไม่ใช่แค่ร่างงบ แต่อาจเป็น “ศึกชี้ขาด”
ขณะที่รัฐบาลกำลังจะเสนอร่างงบประมาณประจำปี 2569 ต่อรัฐสภาในเร็ว ๆ นี้ แต่อุณหภูมิทางการเมืองกลับร้อนระอุ หลายฝ่ายเริ่มจับตาว่า “การโหวตร่างงบฯ ครั้งนี้อาจเป็นจุดชี้ชะตาอายุรัฐบาล” โดยเฉพาะหากพรรคภูมิใจไทยไม่ให้ความร่วมมือ หรือแม้กระทั่งลงมติ “คว่ำงบ” ซึ่งเท่ากับถอนความไว้วางใจรัฐบาลทางอ้อม
สัญญาณ “ยุบสภา” เริ่มปรากฏ?
เมื่อกลไกภายในเริ่มส่งสัญญาณไม่ราบรื่น พร้อมกับปมคดีร้อนที่อาจลากโยงไปถึงบุคคลระดับสูง การ ยุบสภา อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ไกลเกินจริง โดยเฉพาะหากรัฐบาลประเมินว่าไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายหลักผ่านสภาได้อีก หรือหากผลกระทบจากคดีฮั้ว ส.ว. ลุกลามถึงจุดที่กระทบความชอบธรรม
อีกทั้ง กระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อการจัดการเลือก ส.ว. ที่ถูกมองว่า “ล็อกผล” เพื่อสืบทอดอำนาจ อาจเป็นแรงกดดันที่ผลักให้รัฐบาลต้องเลือก “รีเซ็ตเกม” ผ่านการยุบสภา
ภูมิใจไทยกับจังหวะ “ทบทวนบทบาท”
การแตกหักกับพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ อาจสะท้อนว่าพรรคภูมิใจไทยกำลังประเมินทิศทางใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเงื่อนไขการเมืองเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และอาจมองว่า “การอยู่ในรัฐบาลที่อ่อนแอ” ไม่ใช่คำตอบระยะยาว การปล่อยให้ร่างงบฯ ล้ม หรือถอนตัวจากรัฐบาล จึงอาจเป็นการเปิดทางสู่การรีแบรนด์-ทบทวนจุดยืนของพรรคในทางการเมืองระดับชาติ
สุดท้ายนี้ จุดเปลี่ยนของปี 2568 อาจไม่ใช่แค่การเลือก ส.ว. แต่คือรากฐานของ “เปลี่ยนขั้ว” การเมืองอีกครั้ง
ขณะที่ฝ่ายต่าง ๆ ยังวางหมากเดินเกม คำถามสำคัญคือ ใครจะ “กำหนดกระดาน” ก่อน? และประชาชนจะได้อะไรจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้? หรือสุดท้ายเป็นเพียงการสลับเก้าอี้ในกระดานเดิม?