ดินแดนแห่งนครวัด – นครธม ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์รวมของอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ หากแต่ยังเป็นแหล่งรวมของความเชื่อและศรัทธาที่หยั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไสยศาสตร์และมนต์ดำของเขมร” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความขลังและอานุภาพที่สามารถใช้ได้ทั้งการทำลายและปกป้อง
ความเชื่อเหล่านี้แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะในกลุ่มทหารกัมพูชา ซึ่งมักมีการพึ่งพาเครื่องรางของขลัง พิธีกรรม หรือแม้แต่มนต์คาถา เพื่อเสริมขวัญกำลังใจ สร้างความมั่นใจ และเชื่อว่าสามารถปกป้องพวกเขาจากอันตรายที่มองไม่เห็นในสนามรบได้
เรามักจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับทหารเขมรที่อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า หรือมีของดีที่ช่วยให้รอดพ้นจากกระสุนปืน แต่ในทางกลับกัน ความสงสัยย่อมเกิดขึ้นตามมาเสมอว่า
“หากไสยศาสตร์มีอานุภาพรุนแรงถึงขั้นทำลายศัตรูได้ ทำไมในการทำสงคราม ทหารกัมพูชาจึงยังคงต้องพึ่งพาอาวุธสงครามที่ทันสมัย และเหตุใดมนต์ดำเหล่านั้นจึงไม่สามารถหยุดยั้งความตายในสนามรบได้?”
คำตอบของคำถามนี้อาจไม่ได้อยู่ที่ความขัดแย้งของสองสิ่งนี้ แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง “ความเชื่อ” และ “ความเป็นจริง” ในบริบทที่แตกต่างกัน
1. พลังของศรัทธา vs. พลังของอาวุธ: เมื่อความเชื่อคือขวัญและกำลังใจ ในสถานการณ์คับขันในสนามรบ ความศรัทธาในไสยศาสตร์ เปรียบเสมือนเกราะกำบังทางจิตใจ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวที่ช่วยให้ทหารมีความกล้าหาญ ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย ความเชื่อที่ว่าตนเองมีของดีคุ้มครอง ทำให้พวกเขามีขวัญและกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ปืนใหญ่ ขีปนาวุธ หรือระเบิด ย่อมมีอานุภาพทำลายล้างที่ชัดเจนและจับต้องได้มากกว่า
การใช้ไสยศาสตร์ในทางไสยเวทย์นั้นมีข้อจำกัดและเงื่อนไขที่ซับซ้อน อาจไม่ได้ส่งผลกระทบในทันทีทันใด หรือต้องอาศัยพิธีกรรมที่ไม่ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ในสนามรบที่ต้องการความรวดเร็วและเด็ดขาด ดังนั้นอาวุธสงครามจึงยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินผลแพ้ชนะอย่างแท้จริง
2. คุณไสยมี “กฎ” และ “ข้อจำกัด” ในโลกของไสยศาสตร์ มนต์ดำและคาถามักมีข้อห้ามหรือข้อจำกัดที่เข้มงวด หากผู้ใช้ไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็อาจทำให้มนต์เสื่อม หรือเกิดผลร้ายย้อนกลับมาสู่ตนเองได้ ในขณะที่อาวุธสงครามนั้นใช้งานได้ง่ายและให้ผลลัพธ์ที่คาดเดาได้มากกว่า
นอกจากนี้ อานุภาพของไสยศาสตร์อาจไม่ได้มีผลต่อทุกคนหรือทุกสิ่ง บางครั้งอาจขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้ที่ถูกกระทำ หรืออาจถูกหักล้างได้ด้วยของดีหรือคาถาของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งในสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและไม่แน่นอน การพึ่งพาสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วอย่างอาวุธยุทโธปกรณ์จึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลกว่า
3. ความตาย…เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ แม้ทหารจะมีความเชื่อในเครื่องรางของขลังและคาถาอาคมมากมาย แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ความตายในสนามรบก็ยังคงเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะการโจมตีที่รุนแรงจนเกินกว่ามนต์จะคุ้มครองได้ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่น ๆ ในสงคราม
ความตายที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เป็นการปฏิเสธอานุภาพของไสยศาสตร์โดยสิ้นเชิง แต่เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าไสยศาสตร์เป็นเพียงเครื่องมือทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังวิเศษที่สามารถอยู่เหนือหลักการทางฟิสิกส์หรือความเป็นจริงของโลกวัตถุได้อย่างสมบูรณ์
สรุปได้ว่า ไสยศาสตร์และอาวุธสงครามในบริบทของทหารกัมพูชาจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่มาเพื่อแทนที่กัน หากแต่เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่คนละอย่าง ไสยศาสตร์คือเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ สร้างความกล้าหาญและความเชื่อมั่น ส่วนอาวุธสงครามคือเครื่องมือที่ใช้ต่อสู้กับศัตรูอย่างเป็นรูปธรรม การผสมผสานระหว่าง “ความเชื่อ” ที่มองไม่เห็นและ “อาวุธ” ที่จับต้องได้ จึงเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลและน่าฉุกคิดที่สุดในเรื่องนี้.
อ่านข่าวอื่น ๆ :
- “ทำไมศพทหารกัมพูชาถึงถูกทิ้งไว้กลางสนามรบ?”
- ทำไม “ฮุน เซน” จากอดีตเขมรแดง สู่การครองอำนาจ 40 ปี อะไรที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้นานขนาดนี้?
- “สันติภาพ” ที่หายไปในสมรภูมิข่าวสาร เมื่อ “รักชาติ” กลายเป็นดาบสองคมที่ฟาดฟันเราเอง