ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บรรยากาศของประเทศไทยถูกปกคลุมด้วยความเครียด ความโกรธ และความกังวลจากเหตุการณ์สู้รบตามแนวชายแดน แม้เสียงปืนจะสงบลงชั่วคราว แต่สมรภูมิอีกแห่งที่ยังคงดุเดือดไม่แพ้กัน คือ “สมรภูมิของข่าวสาร”
คลื่นความโกรธและความห่วงใยได้ปลุกพลังร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง เราเห็นผู้คนแชร์ข่าวอย่างมีอารมณ์ร่วม ภาคเอกชนร่วมใจกันแสดงสัญลักษณ์ของชาติ และประชาชนนับไม่ถ้วนพร้อมใจกันบริจาคโลหิตและส่งกำลังใจให้ทหารแนวหน้า
ในภาพรวม ความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างยิ่ง หลายคนได้ปรับจุดยืนจากที่เคยต่อต้านความขัดแย้งทุกรูปแบบ หันมาให้น้ำหนักกับความมั่นคงและมองว่าการตอบโต้ทางการทหารและการทูตที่เข้มข้นขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็น
เมื่อ “รักชาติ” ถูกฉาบด้วยอคติและชาตินิยมสุดโต่ง
แต่ในรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่านั้น กระแส “รักชาติ” ในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่พลังแห่งความร่วมมือ แต่ยังปะปนไปด้วยอารมณ์ของการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การดูถูกเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์เพียงเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ การเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริง และการสนุกสนานกับข่าวปลอมที่มุ่งดิสเครดิตอีกฝ่าย
ปรากฏการณ์นี้กลายเป็น “ชาตินิยมแบบสุดโต่ง” ที่แทรกซึมอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่โพสต์ของบุคคลทั่วไป ไปจนถึงการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์ และองค์กรสื่อชั้นนำ ซึ่งน่าสนใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับแม้กระทั่งผู้ที่เคยตั้งคำถามกับแนวคิดชาตินิยมและทหารนิยมมาก่อน
“ความเป็นมนุษย์” ที่ถูกกลืนกินโดย “ความเป็นเจ้าของ”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความถูกหรือผิด ดีหรือเลว แต่มันชวนให้เรามาสำรวจความซับซ้อนภายในจิตใจของมนุษย์ ที่ไม่มีใครเป็น “อนุรักษนิยม” หรือ “เสรีนิยม” ได้อย่างบริสุทธิ์ตลอดเวลา สถานการณ์และเงื่อนไขของชีวิตต่างหากที่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะแสดงจุดยืนอย่างไร
บางคนกล่าวไว้ว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเป็น “เจ้าของ-เจ้าที่” ไม่ว่าจะเป็นในระดับดินแดน วัฒนธรรม ระบบ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว เราก็จะเริ่มยึดติดและแสดงความเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะสิ่งที่ใกล้ชิดเราที่สุด ย่อมเป็นสิ่งที่เรารักและหวงแหนมากที่สุด
แต่คำถามสำคัญที่เราควรถามตัวเองอยู่เสมอคือ “เรากำลังปกป้องอะไร และเพื่ออะไร?” ความรักชาติและการหวงแหนอธิปไตยเป็นสิ่งที่ควรเคารพ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ควรแยกออกจากหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ทั้งในเรื่องของความยุติธรรม ความเมตตา และการรับฟังอย่างมีวุฒิภาวะ
ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องตระหนักให้ได้ว่า ในขณะที่เรากำลังปกป้องชาติและอธิปไตยนั้น เรากำลังเผลอขัดขวาง “ความเป็นมนุษย์” ของอีกฝ่าย หรือแม้กระทั่งของตัวเราเองหรือไม่ เพราะการสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปในสงครามข่าวสาร อาจเป็นความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่กว่าสงครามจริงเสียอีก
บทความนี้ เขียนขึ้นด้วยเหตุและผลที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้เราทุกคนตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ โดยมิได้มีเจตนาเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติในระยะยาวอย่างแท้จริง
ทีมข่าว Topic Thailand ขอสดุดี ทหารกล้าทุกนาย ที่เสียสละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และทำหน้าที่ทหารปกป้องประเทศได้อย่างดีเยี่ยม อย่างสมเกียรติและสมศักดิ์ศรีชายชาติทหาร
อ่านข่าวอื่น ๆ :
- “สื่อกัมพูชา” VS “สื่อไทย” ศึกสงครามข้อมูลใครชนะ? เจาะลึกโครงสร้างและจุดยืนที่ต่างกันสุดขั้ว
- “ฮุน เซน” ผู้นำที่โลกไม่ควรไว้ใจ – เผด็จการผู้รอดจากเขมรแดง สู่อำนาจ 40 ปีที่ยังไม่มีใครกล้าท้าชน
- ทำไม? ปี 2568 ไทย – กัมพูชา ถึงรบกันเดือดกว่า ปี 2554