Site icon

ทำไม? ไทยครองแชมป์อาเซียน! ใช้กฎหมายปิดปากนักสิทธิฯ เกือบ 600 คดี – เสรีภาพหรือความกลัว?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 1 ของอาเซียนในการใช้ “กฎหมายปิดปาก” หรือ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) กับนักเคลื่อนไหว นักข่าว และนักสิทธิมนุษยชนมากถึงเกือบ 600 คดี

SLAPP เป็นกลยุทธ์ที่มักใช้โดยภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อข่มขู่และทำให้ผู้ที่ออกมาเปิดโปงเรื่องการละเมิดสิทธิ หรือทุจริต ต้องเผชิญกับคดีความ จนหลายคนต้องหยุดเคลื่อนไหว เพราะไม่สามารถรับภาระทางกฎหมายได้

“กฎหมายปิดปาก” คืออะไร?

“กฎหมายปิดปาก” หรือ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) เป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ใช้ฟ้องร้องนักเคลื่อนไหว นักข่าว หรือประชาชนที่ออกมาเปิดโปงปัญหาทางสังคม เพื่อให้พวกเขาหยุดวิพากษ์วิจารณ์หรือลดบทบาทลง เพราะต้องเผชิญกับภาระทางกฎหมาย ค่าทนาย และแรงกดดันต่าง ๆ

ทำไมไทยถึงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน?

จากรายงานขององค์การสิทธิมนุษยชน พบว่าประเทศไทยมีคดีที่เข้าข่ายการใช้กฎหมายปิดปากนักสิทธิฯ มากที่สุดในภูมิภาค โดยมีสาเหตุหลัก ดังนี้

1. กฎหมายหมิ่นประมาททางแพ่งและอาญา – อาวุธฟ้องปิดปาก

ตัวอย่างคดี:
นักข่าวและนักสิทธิฯ ที่เปิดโปงการละเมิดสิทธิแรงงานในโรงงานหรือเหมืองแร่ มักถูกบริษัทฟ้องหมิ่นประมาท โดยอ้างว่าทำให้บริษัทเสียหาย

ปัญหา :
กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาเปิดช่องให้ภาคเอกชนและรัฐใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ ทำให้หลายคนต้องใช้เวลาสู้คดีมากกว่าการทำงานเพื่อปกป้องสิทธิ

2. พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ – เครื่องมือใหม่ในการปิดปากบนโลกออนไลน์

ตัวอย่างคดี:
มีนักสิทธิฯ ถูกฟ้อง หลังจากโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสภาพแรงงานของแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทย

ปัญหา :
กฎหมายนี้ไม่ได้ถูกใช้เพียงเพื่อป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ แต่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองและเศรษฐกิจในการปิดกั้นข้อมูลที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของผู้มีอำนาจ

3. บริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐใช้การฟ้องร้องแทนการโต้แย้งด้วยเหตุผล

ตัวอย่างคดี:
ผู้นำชุมชนที่ต่อต้านโครงการเหมืองแร่ หรือโรงไฟฟ้า ถูกบริษัทฟ้องร้องหลายคดี ทำให้ต้องเสียเงินจ้างทนาย และใช้เวลาสู้คดีจนบางคนต้องล้มเลิกการเคลื่อนไหว

ปัญหา :
การใช้ “คดี” เป็นเครื่องมือปิดปากทำให้คนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ไม่มีพื้นที่ในการแสดงออก

4. ไม่มีมาตรการป้องกัน SLAPP อย่างจริงจัง

ตัวอย่างต่างประเทศ :

ปัญหาในไทย :

ผลกระทบของการใช้กฎหมายปิดปากในไทย

  1. ทำให้ประชาชนกลัวที่จะพูดความจริง – หลายคนเลือก “เงียบ” เพราะไม่อยากถูกฟ้องร้อง
  2. ทำลายเสรีภาพสื่อและนักเคลื่อนไหว – นักข่าวและองค์กรภาคประชาสังคมต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง
  3. สร้างภาระหนักให้กับผู้ถูกฟ้อง – ค่าใช้จ่ายในการสู้คดีสูง และต้องเสียเวลาในการขึ้นศาล
  4. ประชาชนเสียโอกาสได้รับข้อมูลที่โปร่งใส – ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสังคมและการละเมิดสิทธิถูกปิดกั้น

ทางออก – ไทยควรทำอย่างไร?

  1. ยกเลิกกฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา – ให้คดีหมิ่นประมาทเป็นเรื่องทางแพ่งเท่านั้น
  2. แก้ไข พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ – จำกัดการใช้กฎหมายเพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
  3. ออกกฎหมายต่อต้าน SLAPP – คุ้มครองนักสิทธิฯ และนักข่าวจากคดีที่ไม่มีมูล
  4. กระบวนการยุติธรรมต้องมีมาตรฐานสูงขึ้น – ศาลควรมีแนวทางที่ชัดเจนในการยกฟ้องคดีที่เข้าข่าย SLAPP

ประเทศไทยกลายเป็น อันดับ 1 ในอาเซียนในการใช้กฎหมายปิดปากนักสิทธิฯ เพราะกฎหมายหลายฉบับยังเปิดช่องให้รัฐและเอกชนใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ การฟ้องร้องถูกใช้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพ มากกว่าการแก้ไขปัญหาอย่างโปร่งใส

หากไม่มีมาตรการป้องกัน SLAPP อย่างจริงจัง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนจะลดลงเรื่อย ๆ และการตรวจสอบอำนาจรัฐจะทำได้ยากขึ้น นี่จึงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน!

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Exit mobile version